ไม่ว่าคุณจะเพิ่งใช้ชีวิตคู่กับแฟนสาวมาเพียงไม่กี่เดือนหรือเป็นปีๆ แล้วก็ตาม และเรื่องรักๆ ใคร่ๆ ยังคงฮอตอยู่ แต่มีสิ่งหนึ่งที่ไม่เคยเปลี่ยนไปตามกาลเวลา คือ คุณยังคงเป็นฝ่ายเริ่มต้นในเรื่องเซ็กซ์ ทั้งๆ ที่ใจก็อยากให้สาวคนรักเป็นคนเริ่มต้นบ้าง เพียงเธอส่งสายตาและท่าทางว่าอยากในเรื่องอย่างว่า เชื่อว่าคุณก็พร้อมจะตอบสนองอยู่แล้ว
ทำไมผู้หญิงจึงไม่เป็นฝ่ายเริ่มต้นการมีเซ็กซ์ และทำอย่างไรที่จะทำให้เธอเปลี่ยนความคิดเดิมๆ ได้ บางที 4 ข้อคิดข้างล่างนี้อาจช่วยคุณได้
1.ยั่วให้หลงใหล
เหตุผลหลักที่สาวๆ ไม่ยอมเป็นฝ่ายรุกในเรื่องเซ็กซ์ เพราะเห็นว่ามันไม่จำเป็น พวกเธอรู้ดีว่า มันเป็นหน้าที่ของฝ่ายชาย เมื่อพวกเขาเกิดอารมณ์ขึ้นมา และอยู่ที่ว่าเธอจะยินยอมพร้อมใจด้วยหรือไม่ แต่ในเมื่อคุณผู้ชายมักเป็นฝ่ายร้องขอ ทำไมพวกเธอจะต้องเป็นคนเริ่มต้นเองด้วยล่ะ
วิธีแก้ : คุณผู้ชายต้องเป็นผู้คุมเกมนี้เอง โดยถ้าคุณและคู่รักเมกเลิฟกัน 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์ เธอก็จะคาดหวังเช่นนั้นเสมอ ฉะนั้น สัปดาห์แรก คุณต้องยั่วให้เธอหลงใหล ด้วยการจูบแบบดื่มด่ำ นวดสัมผัสตามเรือนร่างเพื่อกระตุ้นอารมณ์ หรือเมื่อนั่งดูทีวีด้วยกัน ก็ลูบไล้เนื้อตัวเธอไปมาอย่างแผ่วเบาด้วยความเสน่หา และเมื่อเธอเริ่มมีอารมณ์ คุณก็ค่อยๆ วางมือและหยุด พร้อมกับหันไปทำอย่างอื่นที่ไม่ใช่เซ็กซ์ รับรองว่า แค่อาทิตย์เดียว เธอจะเริ่มหงุดหงิดงุ่นง่าน และจะเป็นฝ่ายรุกในเกมรักที่กำลังจะมาถึงในวีคเอนด์นี้เอง ขอกระซิบว่า ถ้าทำสำเร็จ คุ้มเกินคุ้มจริงๆ
2.เปิดใจคุยกัน
ต้องขอขอบคุณค่านิยมของสังคมและบรรดาคุณแม่ทั้งหลายในเรื่องนี้ เพราะสาวๆ ส่วนใหญ่ถูกอบรมเลี้ยงดูว่า ไม่ควรเป็นฝ่ายเชิญชวนชายหนุ่มในเรื่องเพศ ซึ่งจะทำให้พวกเธอดูไม่ต่างจากหญิงโสเภณี แถมยังเชื่อฝังหัวอีกว่า ถ้าเป็นฝ่ายรุกก่อน จะถูกแฟนหนุ่มมองว่าเป็นหญิงร่านโลกีย์ พวกเธอจึงไม่อยากทำเรื่องที่ต้องห้ามนี้
วิธีแก้ : คุณต้องขจัดความคิดเช่นนี้ออกจากใจสาวคน รักให้หมดสิ้น อย่างไรน่ะหรือ ง่ายมาก วิธีก็คือเมื่อมีโอกาสอยู่ด้วยกันตามลำพังในบรรยากาศโรแมนติก ให้คุยกันอย่างเปิดอกว่า สิ่งที่กระตุ้นอารมณ์เพศของคุณ คือการที่เธอเป็นฝ่ายเชื้อเชิญให้คุณร่วมรักบ่อยๆ และถ้าเธอปฏิเสธว่าทำไม่ได้ คุณต้องให้กำลังใจว่า มันเป็นเรื่องปรกติสำหรับคนที่เป็นสามีภรรยา
ทำอย่างนี้ไปสักพัก เชื่อเถอะว่าคราวหน้าเธอจะเป็นฝ่ายเริ่มต้น และคุณควรสังเกตให้ดี เพราะสิ่งที่เธอแสดงออกมานั้น คุณอาจไม่เก็ตในตอนแรกๆ ก็เป็นได้ และอย่าลืมพูดให้กำลังใจเธอทุกครั้ง แล้วคุณจะได้ในสิ่งที่ต้องการ
3.สร้างความมั่นใจ
ก็เหมือนผู้ชายน่ะแหละ ผู้หญิงก็กลัวการถูกปฏิเสธเช่นกัน แต่พวกเธอจะได้เปรียบกว่าตรงที่ไม่ต้องเสี่ยงหน้าแตก ดังนั้น สาวๆ จึงไม่ชินกับความรู้สึกเช่นนี้เหมือนพวกหนุ่มๆ และสาวบางคนจะไม่มีทางเป็นฝ่ายเริ่มต้นก่อน เพราะกลัวชายหนุ่มไม่เล่นด้วย ซึ่งเธอรับความรู้สึกนั้นไม่ได้
วิธีแก้ : ให้กำลังใจสุดเลิฟในทุกท่วงท่า ปล่อยให้เธอลูบไล้ต้นขาหรือเส้นผมไปมา ถ้าเธอจูบคุณ อย่ารีรอที่จะจูบตอบ ฟังดูเป็นเรื่องพื้นๆ แต่ใช้ได้ผล ขั้นต่อไป บอกเธอถึงสิ่งที่คุณชอบให้เธอทำมากที่สุด
หลังจากคุณสร้างความมั่นใจให้เธอแล้ว เธอจะไม่กลัวถูกปฏิเสธอีกต่อไป และกล้าเป็นผู้เริ่มในเรื่องบนเตียงตามสไตล์ของเธอเอง ข้อสำคัญคือ คุณต้องไม่ปฏิเสธเธอ แม้ว่าคุณจะไม่อยู่ในอารมณ์พิศวาสก็ตาม ไม่อย่างนั้นเธอจะจำฝังใจและไม่กล้าเป็นฝ่ายเริ่มต้นอีก
4.แก้ไขสถานการณ์
ถ้าคุณได้ยินหวานใจพูดว่า “ฉันปวดหัว” หลายๆ ครั้ง เมื่อคุณมีทีท่าว่าต้องการเมกเลิฟ นั่นอาจเป็นเหตุผลที่เธออ้าง แต่จริงๆ แล้ว เป็นเพราะเธอไม่มีอารมณ์ทางเพศต่างหาก
วิธีแก้ : นี่เป็นเรื่องยากที่สุดในการแก้ไข เพราะคุณต้องรู้สาเหตุก่อนว่า อะไรทำให้สาวข้างกายหมดความสนใจในเรื่องเพศ และไม่อยากมีเซ็กซ์ คุณต้องหาสาเหตุและพยายามแก้ไขให้สถานการณ์ดีขึ้น เช่น ถ้าบทรักของคุณและเธอดูจำเจ ต้องพยายามเพิ่มรสชาติให้คึกคัก ซู่ซ่ามากขึ้น และเมื่อแฟนสาวเริ่มกลับมาสนใจเรื่องบนเตียงเหมือนเดิม ลองใช้เทคนิคที่กล่าวมาข้างต้น ทำให้เธอเป็นฝ่ายเริ่มอยากมีเซ็กซ์กับคุณบ้าง
รับประกันว่า ด้วยความเพียรพยายามของคุณ จะสามารถทำให้ผู้หญิงที่ขี้อายที่สุด กล้าเป็นคนริเริ่มในเรื่องเซ็กซ์แบบอะเมซิ่งทีเดียว
ละคร เรื่องย่อละคร หนังเกาหลี รูปละคร หนัง เพลง รูป ดารา ข่าว หาเพื่อนmsn ข่าว กีฬา การเมือง บอร์ด
Wednesday, October 27, 2010
Tuesday, October 19, 2010
พบสารก่อมะเร็งในแก๊สโซฮอล์
นางเดซี่ หมอกน้อย นักวิจัยด้านอากาศจากศูนย์วิจัยและฝึกอบรมด้านสิ่งแวดล้อม ได้นำเสนอผลงานวิจัยเรื่องปริมาณการแพร่กระจายของสารประกอบคาร์บอนิลในอากาศในเขตกรุงเทพฯ ระหว่างปี 2549-2551 หลังจากรัฐบาลมีนโยบายส่งเสริมให้ประชาชนใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล์เนื่องจากมีราคาถูกกว่าน้ำมันเบนซินและดีเซลว่า จากผลการวิจัยพบ อากาศในกรุงเทพฯ มีปริมาณสารพิษกลุ่มคาร์บอนิล ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็งเพิ่มขึ้น
การวิจัยครั้งนี้เก็บตัวอย่างสารกลุ่มคาร์บอนิลในอากาศครอบคลุมพื้นที่ริมถนน 49 จุดในเขตกรุงเทพฯ ที่มีการจราจรหนาแน่น ซึ่งตรวจพบว่าความเข้มข้นของสารกลุ่มการ์บอนิล 10 ชนิด โดยเฉพาะในถนนที่มีการจราจรหนาแน่นอย่างริมถนนอนุสาวรีย์ชัย พระราม 5 รัชดาภิเษก สุขุมวิท และดอนเมือง มีค่าความเข้มข้นของสารฟอร์มัลดีไฮด์ 10.6 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร สูงเกินเกณฑ์ระดับความเสี่ยงของอเมริกาถึง 5 เท่า ส่วนสารที่พบอีกตัวคือ อะเซทัลดีไฮด์มีปริมาณความเข้มข้นอยู่ในช่วง 3.31 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ซึ่งในอเมริกากำหนดมาตรฐานไว้ที่ 2.2 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตรเท่านั้น ซึ่งสาเหตุที่ทำให้แก๊สโซฮอล์มีสารพิษดังกล่าวเกิดจากระบวนการเผาไหม้ไม่สมบูรณ์ออกมาแล้วเจอกับแสงในบรรยากาศจะส่งผลให้มลพิษตัวอื่นๆเพิ่มขึ้น ซึ่งทั้งสารฟอร์มัลดีไฮด์และอะเซทัลดีไฮด์ยังไม่มีการกำหนดมาตรฐานในเมืองไทย
อย่างไรก็ตามหลังจากข่าวนี้เผยแพร่ออกไป ทางด้านผู้เกี่ยวข้องอย่างนายเมตตา บันเทิงสุข อธิบดีกรมธุรกิจพลังงาน ได้ออกมาชี้แจงข้อมูลว่า
"ยอมรับว่าแก๊สโซฮอล์ มีผลเกี่ยวเนื่องกับการเกิดสารประกอบคาร์บอนิล หากกระบวนการเผาไหม้ของเครื่องยนต์ไม่สมบูรณ์จะทำให้เกิดไอเสียที่มีสารดังกล่าวปะปนกับไอเสีย อาจมากหรือน้อยแล้วแต่สภาพของเครื่องยนต์ ทั้งนี้หากรถยนต์เก่าดูแลไม่ดี มีโอกาสเกิดไอเสียที่เป็นสารพิษปะปนมาก และไม่ว่ารถชนิดนั้นจะใช้น้ำมันชนิดใดก็ตามจะมีไอเสียที่เป็นสารพิษออกมา เช่น จากน้ำมันดีเซลมีสารกำมะถันมาก น้ำมันเบนซินมีสารอะโรมาติกส์ และสารเบนซิน ที่เป็นสาเหตุของมะเร็ง เป็นอันตรายมากกว่าสารกลุ่มคาร์บอนิล หากดูในภาพรวมแล้ว แก๊สโซฮอล์จะเกิดมลพิษน้อยกว่าน้ำมันเบนซิน"
ไม่อยากให้ผู้ที่ได้รับข่าวสารกลัวว่าใช้แก๊สโซฮอล์แล้วจะเป็นมะเร็ง ในตัวของน้ำมันเองไม่มีสารที่ก่อมะเร็ง แต่หากการเผาไหม้ไม่สมบูรณ์จะเสี่ยงมากขึ้น ซึ่งผู้ใช้รถควรหมั่นนำรถตรวจสภาพ และจูนอัพเครื่องยนต์เสมอ เพราะรถยนต์เมื่อใช้ไประยะเวลาหนึ่งชิ้นส่วนจะผิดเพี้ยนไปจากเดิม แต่นิสัยคนไทยไม่เสียไม่ซ่อม จึงทำให้มลพิษเพิ่มขึ้น และไปโทษว่าแก๊สโซฮอล์ผิดอีกแล้ว เป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง" อธิบดีกรมธุรกิจพลังงาน
การวิจัยครั้งนี้เก็บตัวอย่างสารกลุ่มคาร์บอนิลในอากาศครอบคลุมพื้นที่ริมถนน 49 จุดในเขตกรุงเทพฯ ที่มีการจราจรหนาแน่น ซึ่งตรวจพบว่าความเข้มข้นของสารกลุ่มการ์บอนิล 10 ชนิด โดยเฉพาะในถนนที่มีการจราจรหนาแน่นอย่างริมถนนอนุสาวรีย์ชัย พระราม 5 รัชดาภิเษก สุขุมวิท และดอนเมือง มีค่าความเข้มข้นของสารฟอร์มัลดีไฮด์ 10.6 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร สูงเกินเกณฑ์ระดับความเสี่ยงของอเมริกาถึง 5 เท่า ส่วนสารที่พบอีกตัวคือ อะเซทัลดีไฮด์มีปริมาณความเข้มข้นอยู่ในช่วง 3.31 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ซึ่งในอเมริกากำหนดมาตรฐานไว้ที่ 2.2 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตรเท่านั้น ซึ่งสาเหตุที่ทำให้แก๊สโซฮอล์มีสารพิษดังกล่าวเกิดจากระบวนการเผาไหม้ไม่สมบูรณ์ออกมาแล้วเจอกับแสงในบรรยากาศจะส่งผลให้มลพิษตัวอื่นๆเพิ่มขึ้น ซึ่งทั้งสารฟอร์มัลดีไฮด์และอะเซทัลดีไฮด์ยังไม่มีการกำหนดมาตรฐานในเมืองไทย
อย่างไรก็ตามหลังจากข่าวนี้เผยแพร่ออกไป ทางด้านผู้เกี่ยวข้องอย่างนายเมตตา บันเทิงสุข อธิบดีกรมธุรกิจพลังงาน ได้ออกมาชี้แจงข้อมูลว่า
"ยอมรับว่าแก๊สโซฮอล์ มีผลเกี่ยวเนื่องกับการเกิดสารประกอบคาร์บอนิล หากกระบวนการเผาไหม้ของเครื่องยนต์ไม่สมบูรณ์จะทำให้เกิดไอเสียที่มีสารดังกล่าวปะปนกับไอเสีย อาจมากหรือน้อยแล้วแต่สภาพของเครื่องยนต์ ทั้งนี้หากรถยนต์เก่าดูแลไม่ดี มีโอกาสเกิดไอเสียที่เป็นสารพิษปะปนมาก และไม่ว่ารถชนิดนั้นจะใช้น้ำมันชนิดใดก็ตามจะมีไอเสียที่เป็นสารพิษออกมา เช่น จากน้ำมันดีเซลมีสารกำมะถันมาก น้ำมันเบนซินมีสารอะโรมาติกส์ และสารเบนซิน ที่เป็นสาเหตุของมะเร็ง เป็นอันตรายมากกว่าสารกลุ่มคาร์บอนิล หากดูในภาพรวมแล้ว แก๊สโซฮอล์จะเกิดมลพิษน้อยกว่าน้ำมันเบนซิน"
ไม่อยากให้ผู้ที่ได้รับข่าวสารกลัวว่าใช้แก๊สโซฮอล์แล้วจะเป็นมะเร็ง ในตัวของน้ำมันเองไม่มีสารที่ก่อมะเร็ง แต่หากการเผาไหม้ไม่สมบูรณ์จะเสี่ยงมากขึ้น ซึ่งผู้ใช้รถควรหมั่นนำรถตรวจสภาพ และจูนอัพเครื่องยนต์เสมอ เพราะรถยนต์เมื่อใช้ไประยะเวลาหนึ่งชิ้นส่วนจะผิดเพี้ยนไปจากเดิม แต่นิสัยคนไทยไม่เสียไม่ซ่อม จึงทำให้มลพิษเพิ่มขึ้น และไปโทษว่าแก๊สโซฮอล์ผิดอีกแล้ว เป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง" อธิบดีกรมธุรกิจพลังงาน
Subscribe to:
Posts (Atom)