Sunday, June 6, 2010

“จตุรงค์” ท้าสาบานรถชนตายถ้าอมเงิน “น้องพี” แฉ “แม่ตลกเด็ก” คือปมขัดแย้ง

จตุรงค์” กร้าว! ท้าสาบานให้รถชนตายหากอมเงิน หรือหักเปอร์เซ็นต์ “น้องพี” รับน้อยใจพ่อน้องพีลำเลิกบุญคุณ แฉปมขัดแย้งแม่ตลกเด็กชอบทำตัวแข่งเมียตน และควบคุมทั้งครอบครัว ปฏิเสธดึง “น้องพี” กลับคณะเพราะเลยวัย พร้อมป้องไม่ใช่ขี้ยา ลั่นยินดีช่วยค่าเทอมจนเรียนถึงมหาวิทยาลัย แต่มีเงื่อนไขจะโอนเงินให้โรงเรียนโดยตรง ฝากผ่านบอก “น้องพี” ให้ตั้งใจเรียน และยังรักเหมือนเดิม

น้องพี


ยังคงเป็นประเด็นร้อนที่ต้องติดตามกันอย่างต่อเนื่อง สำหรับกรณีของอดีตตลกเด็กชื่อดัง “น้องพี มกจ๊ก” หรือ “ด.ช. ประสิทธิโชค มานะสันทัด” ที่หายหน้าไปจากวงการนาน 3 ปี จากนั้นก็ได้ออกมาเผยว่า ชีวิตช่วงนี้ลำบาก แต่โชคดีได้พระครูปลัดสิทธิวัฒน์ หรือ “หลวงพี่น้ำฝน” เจ้าอาวาสวัดไผ่ล้อม จ.นครปฐม ช่วยอุปการะส่งเสียค่าเทอมให้ งานนี้จึงทำให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ว่า “น้องพี” ถูกลุงซึ่งเป็นตลกชื่อดัง “จตุรงค์ มกจ๊ก” ทอดทิ้งจนตกอับ ต้องกลายมาเป็นเด็กวัด

ซึ่งก็ทำเอาตลกชื่อดังถึงกับควันออกหู รีบออกมาชี้แจงเป็นการด่วนว่า ตนไม่ได้ทอดทิ้ง แต่พ่อแม่ของ “น้องพี” มาขอลูกออกไปเพื่อเลี้ยงดูเอง ทั้งยังแฉที่ผ่านมาอดีตตลกเด็กมีรายได้เดือนละเหยียบล้าน แต่กลับถูกพ่อแม่ผลาญเงินหมด พร้อมฉะพระว่าต้องการใช้ “น้องพี” เพื่อโปรโมตเทป และทำให้ตัวเองได้หน้ากลายเป็นพระเอก ส่วนตนเป็นผู้ร้าย ทั้งที่เป็นผู้เลี้ยงดูครอบครัวของ “น้องพี” มาตลอดทั้งชีวิต

ต่อมาพ่อของน้องพี “นายสุบรรณ มานะสันทัด” ก็ได้ออกมาสวนกลับ “จตุรงค์” ว่า ที่ออกจากบ้านตลกชื่อดัง เพราะรู้สึกอึดอัดใจที่จะอยู่ด้วย ซึ่งสาเหตุ “จตุรงค์” น่าจะทราบดี ส่วนเรื่องรายได้ของ “น้องพี” ยันไม่เคยได้จับเงินล้านตามที่อีกฝ่ายบอกเลยสักครั้ง เมื่อได้ยินเช่นนี้ตลกชื่อดังก็ควันออกหูอีกรอบ เพราะถูกมองอมเงิน “น้อง พี” หลังจากสงบจิตสงบใจได้แล้ว เจ้าตัวก็ออกมาชี้แจงกับสื่ออีกครั้ง

“พูดจริงๆ ระหว่างครอบครัวเขากับผม เรื่องเงินไม่ใช่ปัญหา ผมจ่ายเงินให้เขาครบทุกบาททุกสตางค์ เงินเป็นล้านๆ ของผมในที่นี้คือ เอามารวมๆ กัน อย่างหนังเรื่องนึงพีได้ 3 แสน ละคร 2 แสน แต่ละอย่างรวมๆ กันมันก็เป็นเงินล้านแล้ว แต่ทุกบาททุกสตางค์ผมให้เขาหมดไม่มีเก็บไว้เอง ผมไม่เคยคิดอมเงินเด็กล้านเปอร์เซ็นต์ สาบาน...... ถ้าเกิดสมมติผมค้างเงินพ่อเขาแม้แต่บาทเดียว ขอให้ผมออกไปรถชนตาย หรือไม่ถ้าผมอมบ้างบางส่วน ก็ขอให้ผมออกไปรถชนตายเหมือนกัน แต่บางครั้งค่าตัวเขาไม่มีเลย เพราะเล่นน้อย แล้วผมควักทุนจ่ายให้น้องพีและเด็กในคณะ แม้กระทั่งพ่อเขาที่ไม่ได้ทำอะไรเลย”

“ตอนที่ผมรับงานให้น้องพี ก็ไม่เคยหักเปอร์เซ็นต์แม้สักบาทเดียว หรือพีได้เงิน 100 บาท บางทีผมให้ไป120 บาทด้วย บางทีวันนี้พีเล่นตลกน้อย ผมยังควักเงินจากกระเป๋าผมให้เองเลย ถามพ่อมันสิ พ่อมันรู้ดี ผมควักจ่ายให้ทั้งพ่อทั้งลูกเลย ถ้าใครได้อยู่คณะผมแล้ว ไม่ใช่เฉพาะพีกับเด็กๆ ที่อยู่ในคณะผมให้หมด ใครได้อยู่ในคณะจะเข้าใจเรื่องนี้ดี ลองไปถามคนอื่นดีกว่า เพราะถ้ามาคุยกับผม เดี๋ยวก็จะหาว่าผมพูดเข้าข้างตัวเอง"

“ผมเองก็เคยพูดกับพ่อพีว่า ช่วงนี้พีกำลังหาได้ก็ช่วยๆ มันเก็บบ้างนะ อย่าไปใช้เงินลูกหมด หรือจะให้กูช่วยเก็บบ้างก็ได้ ตอนแรกๆ เขาก็ให้ผมเก็บดีอยู่หรอก แต่ตอนหลังเขาก็เอากลับไปจัดการเองหมดทุกอย่าง ก่อนที่เขาจะออกจากบ้านผมไป ผมเคลียร์เงินให้เขาหมดทุกบาททุกสตางค์ ถ้าผมค้างมันผมบรรลัยเลยนะ ผมจะกลายเป็นคนชั่วทันที ถ้าติดมันแม้สัก1-5 หมื่น”

รับรู้สึกน้อยใจที่ถูกกระแสโจมตีทิ้ง “น้องพี” ทั้งยังน้อยใจกับการกระทำของพ่อเด็ก ที่ถูกตนชุบเลี้ยงมาตั้งแต่เพิ่งคลานได้

"พูดตรงๆ ผมน้อยใจที่เป็นข่าวหนักที่สุด อันดับต่อมาน้อยใจพ่อแม่เด็ก คือถ้าผมไม่ได้เลี้ยงมันมาจะไม่น้อยใจเลย พ่อน้องพีก็เหมือนน้อง ที่ผมเลี้ยงเขามาตั้งแต่เด็ก พอมันเริ่มคลานพ่อแม่มันก็เอามาให้พ่อแม่ผมเลี้ยง จากนั้นก็อยู่บ้านผมมาโดยตลอด อาจจะมีบ้าง1-2 ปีที่มันไปใช้ชีวิตของมัน แล้วก็กลับมาอยู่บ้านผมอีก แต่หลักใหญ่ในชีวิตของพ่อแม่พีเติบโตมาจากครอบครัวผม”

“แล้ววันนึงพ่อพีก็มีแฟน ผมก็เป็นคนจัดการแต่งงานให้ คิดดูเอาสิว่า ผมเลี้ยงพ่อพีมาตั้งแต่คลานแล้ว จะไม่ให้ผมน้อยใจมันก็ไม่รู้จะว่ายังไง ในความรู้สึกของผมเลยคือ มึงเป็นเด็กที่กูเลี้ยงมา แต่มึงจะมาอะไรกับกูนักหนา ไอ้คำว่าถ้าเขาเป็นอย่างนี้ ผมก็ไม่ให้ลูกไปอยู่กับเขาหรอก ถามหน่อยว่าผมไปทำอะไรผิด ถ้าเขาไม่มีผม ไอ้พีจะเป็นตลกที่มีรายได้อย่างทุกวันนี้ไหม ทำไมไม่คิดตรงนี้บ้าง ทำไมไม่คิดถึงสมัยก่อนที่มันต้มมาม่ากินกันห่อเดียวทั้งครอบครัว เรียกได้ว่าความเป็นอยู่แร้นแค้น แล้วผมก็ให้มันมาอยู่ในคณะของผมโดยที่มันไม่ต้องทำอะไรเลย มานั่งรถไปกลับมาค่าตัววันละ500-600 บาททุกวัน"

“ผมถือว่าเด็กที่เราเลี้ยงมากับมือก็คือพ่อเขา ถ้าเป็นผมไปทะเลาะกับใครก็ได้ ที่เป็นผู้ใหญ่กว่าหรือมีบุญคุณกับเรา ภายใน 1 ชั่วโมงผมจะรีบไปขอโทษเขาเลย อย่างตอนที่ป๋าเทพ (โพธิ์งาม) เคยเข้าใจผิดผมเคยมีเรื่องมีราวกัน ภายในวันเดียวผมไปหมอบแทบขาป๋าเทพเลยทันที เพราะมีความรู้สึกว่าเขาเป็นผู้ใหญ่ เด็กต้องไปหาผู้ใหญ่”

“อย่างพ่อน้องพีผมเลี้ยงมันมาตั้งแต่เด็กๆ สมมติงานนี้ผมผิดเต็มๆ จะอย่างไรก็แล้วแต่ ถ้าเป็นผมจะต้องมาหามาคุย บ้านผมเองก็อยู่แค่ตรงนี้ เบอร์ผมเขาก็ยังมี ก็น่าจะติดต่อมาหาผม หรือถ้าเขาเดือดร้อนก็น่าจะโทรมาหาผมก่อนที่จะไปพึ่งพาวัด ผมสามารถจัดการให้เขาได้เสร็จสรรพ”

แฉปมขัดแย้งส่วนนึงมาจากแม่ของอดีตตลกเด็ก ชอบทำตัวแข่งขันกับเมียตน

"สมมติมีเด็กคนนึงที่เราเลี้ยงมาจนโตเป็นหนุ่ม จนมีเมียมีลูก แล้ววันนึงเกิดเรื่องแบบนี้คนที่เลี้ยงมาจะรู้สึกยังไง บอกตรงๆ ว่าโคตรจะเสียใจเลย แต่จะทำอะไรได้ ก็มันเป็นอย่างนั้นไปแล้ว คือพ่อของพีเป็นคนที่เชื่อฟังแม่พีทุกอย่าง แม่พีจะเป็นคนจัดการทุกอย่างเลย พ่อพีเป็นคนที่หัวอ่อน เมียพูดอะไรก็ตามเมีย”

“พูดง่ายๆ เลยคือเมียเขาชอบทำตัวแข่งกับเมีย ผม อย่างเมียผมซื้ออะไรมาก็จะต้องมาแข่ง ซื้อโทรศัพท์ใหม่มาก็ต้องมาแข่ง เมียผมซื้อหมาชิสุมาตัวนึง เลี้ยงอยู่ 2-3 วัน เมียมันก็ไปซื้อมาแข่งกับเมียผม ถามหน่อยจะมาแข่งทำไม มึงมาอาศัยบ้านกูอยู่ มึงเป็นคนที่กูเอาขึ้นมาอะไรต่ออะไร จะมาแข่งทำไม แล้วหมาชิสุทุกวันนี้ผมก็ยังต้องเลี้ยงอยู่ เพราะมันทิ้งแล้ว มันเลี้ยงอยู่ได้ 3 วัน มันซื้อมาโดยที่ไม่ได้รักหมาจริง มันซื้อเพื่อจะมาแข่ง ถามหน่อยว่ามีประโยชน์อะไร”

“ส่วนเรื่องเงินค่าเรียนที่ผมเคยเก็บไว้ให้น้องพี เขาเบิกไปหมดเรียบร้อยแล้ว เผลอๆ เบิกจนเข้าเนื้อผมด้วย เขาเบิกทีก็ 2-3 แสน ตั้งแต่อยู่ด้วยกันแล้ว อย่าให้ผมพูดเยอะเลยเรื่องของแม่เขา อะไรที่แม่เขาพูดพยายามเอามาแบ่งบ้างหน่อย หลายๆ คนรู้จักผมดีว่าเป็นคนยังไง พวกเพื่อนๆ ผม คนรอบกายผมเข้าใจดีว่าเป็นคนยังไง เพราะฉะนั้นแล้วผมคิดว่าผมเคลียร์ แต่หลายๆ คนยังไม่รู้จักแม่เขา ต้องไปทำความรู้จักกับแม่เขาก่อนว่าเป็นคนยังไง ไม่อยากพูดอะไรมาก เดี๋ยวพูดเยอะไปมันไม่ดี อยากให้มันจบๆ ไป เดี๋ยวโต้กันไปตอบกันมามันไม่ดี”

ปฏิเสธดึง “น้องพี” กลับร่วมคณะอีก เพราะเลยวัยตลกเด็กแล้ว พร้อมป้องไม่ใช่ขี้ยาตามที่ถูกกล่าวหา

“ถามว่าผมจะช่วยด้วยการดึงน้องพี กลับมาเล่นตลกอีกไหม มันคงไม่ได้แล้ว ไม่ใช่น้องพีนะ แต่มันเป็นความรู้สึกที่ผมมีต่อครอบครัวเขา อีกอย่างอายุน้องพีไม่ใช่วัยตลกเด็กแล้ว เขาเริ่มจะโตเหมือนดารานักแสดงเด็กทั่วไป ที่พอผ่านเวลาช่วงเด็กไปแล้วงานก็จะไม่มี อย่างตอนที่เขาออกไปใหม่ๆ เราก็ยังรับงานให้ แต่พ่อของพีไม่ส่งเด็กมาให้ผม พอไม่ส่งมางานต่อไปเราก็รับที่มีน้องพีไม่ได้แล้ว มันก็เป็นเรื่องที่เราอึดอัดใจเหมือนกัน เพราะเขาก็ไปรับงานของเขา”

“เท่าที่รู้และเลี้ยงน้องพีมา น้องพีเป็นเด็กดีเชื่อฟังผู้ใหญ่ ดังนั้นที่มีข่าวไปว่า น้องพีเป็นเด็กขี้ยา ผมอ่านแล้วเจ็บปวดแทนเด็กมาก ผมน้อยใจแทนเด็กมาก ทำไมไปคิดอย่างนั้น เห็นมันผอมก็เลยไปคิดว่ามันเป็นเด็กขี้ยาเหรอ ก็อยากให้พ่อแม่ของมันเลี้ยงดูกันดีๆ”

“แล้วอยากฝากไปถึงน้องพีว่า ตอนนี้น้องพีอยู่ในวัยเรียน ก็อยากให้น้องพีตั้งใจเรียน สมัยก่อนลุงรงค์เคยเป็นยังไง ลุงรงค์ก็ยังเป็นอย่างนั้น ลุงรงค์ยังรักน้องพีเหมือนเดิม เราเคยอยู่ร่วมกัน เราเคยนั่งเครื่องบินไปงานนั้นงานนี้กัน 2 คน เราเคยนอนด้วยกันแล้วลุงรงค์ปลุกน้องพี น้องพีก็งอแงลุกขึ้นมาเต้นให้ลุงรงค์ดู ภาพเหล่านั้นมันยังอยู่ในความทรงจำของลุงรงค์หมด เพราะฉะนั้นแล้วน้องพีก็เป็นเหมือนหลานที่ลุงรงค์ยังคิดถึงอยู่เหมือนเดิม บางครั้งที่บ้านเราจัดงานอะไรกัน ก็ยังโทรศัพท์ไปให้พ่อน้องพี พาน้องพีมาบ้าง แรกๆ เขาก็พามา แต่หลังๆ โทรไปเขาก็ไม่พามาแล้ว”

ลั่นยินดีช่วยส่งเสียค่าเทอม “น้องพี” จนถึงเข้ามหาวิทยาลัย ขอแค่พ่อน้องพีโทรมาหา และมีเงื่อนไขขอโอนเงินเข้าบัญชีโรงเรียนโดยตรง

"ส่วนพ่อกับแม่เขา ถ้ามีเรื่องเดือดร้อนเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายการศึกษา ค่าเรียน ค่าเทอมก็โทรมาละกัน ผมยินดีส่งเสียน้องพียันเข้าเรียนมหาวิทยาลัย แต่พอเข้ามหาวิทยาลัยแล้วก็ตัวใครตัวมันแล้วกันนะ เพราะผมอาจจะแก่ทำงานไม่ได้แล้ว แต่ในขณะที่ผมยังทำงานได้ ก็จะช่วยค่าเทอมน้องพีตลอด”

“แต่เงินทุกบาทผมขอติดต่อให้กับทางโรงเรียน โดยตรง จะโอนให้อัตโนมัติเลย เพราะถ้าให้เงินกับพ่อแม่มันเอง เดี๋ยวก็หมด ดังนั้นถ้าพ่อเขายังคิดว่าผมเป็นพี่ก็ติดต่อมา จะให้ผมไปหาแล้วเอาเงินไปให้ทุกอาทิตย์ หรือทุกเดือนก็เป็นไปไม่ได้ ไม่ต้องมาเจอตัวผมก็ได้ แค่โทรมาแล้วบอกเบอร์บัญชีของโรงเรียนเท่านั้นเอง ภายใน 1 ชั่วโมงถ้าผมไม่จัดการมาว่ากันได้เลย”

“แล้วก็อยากให้เขาประคับประคองลูกเขาให้ดี เลี้ยงพีมันให้ดีๆ คนที่จะต้องช่วยเหลือน้องพีคนแรกเลยคือพ่อแม่ พ่อแม่เขาต้องเลี้ยงลูกเขาก่อนที่จะเป็นผม แต่ถ้าน้องพีมีปัญหาจริงๆ ผมถึงจะเป็นคนต่อไปที่จะต้องรับผิดชอบ เหมือนเรามีลูกแล้วปล่อยให้ลูกเราไม่ดี แล้วไปโยนความผิดให้กับคนอื่นมันไม่ถูกต้อง”

No comments: